วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2559

สมาชิกกลุ่ม

สมาชิกกลุ่ม eueueiei

1.นายวุฒิชัย   สะอาด รหัสนักศึกษา 58143415

2.นายอนันต์สิทธ์   ตังกินันท์ รหัสนักศึกษา 58143418

3.นายจักรกฤษณ์   ไชยวรรณ รหัสนักศึกษา 58143437

4.นางสาวศรุตา   ไชยชนะ รหัสนักศึกษา 58143406

5.นายวรลภย์   มาชตรี รหัสนักศึกษา 58143429

6.นายศุภกฤช   นากาซุ รหัสนักศึกษา 58143534

โพรโตคอล

3.1 HTTP
            เกณฑ์วิธีขนส่งข้อความหลายมิติหรือเอชทีทีพี (HyperText Transfer Protocol: HTTP) คือโพรโทคอลในระดับชั้นโปรแกรมประยุกต์เพื่อการแจกจ่ายและการทำงานร่วมกันกับสารสนเทศของสื่อผสมใช้สำหรับการรับทรัพยากรที่เชื่อมโยงกับภายนอก ซึ่งนำไปสู่การจัดตั้งเวิลด์ไวด์เว็บ
การพัฒนาเอชทีทีพีเป็นการทำงานร่วมกันของเวิลด์ไวด์เว็บคอนซอร์เทียม (W3C) และคณะทำงานเฉพาะกิจด้านวิศวกรรมอินเทอร์เน็ต (IETF) ซึ่งมีผลงานเด่นในการเผยแพร่เอกสารขอความเห็น (RFC) หลายชุด เอกสารที่สำคัญที่สุดคือ RFC 2616 (เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2542) ได้กำหนด HTTP/1.1 ซึ่งเป็นรุ่นที่ใช้กันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน
เอชทีทีพีเป็นมาตรฐานในการร้องขอและการตอบรับระหว่างเครื่องลูกข่ายกับเครื่องแม่ข่าย ซึงเครื่องลูกข่ายคือผู้ใช้ปลายทาง (end-user) และเครื่องแม่ข่ายคือเว็บไซต์เครื่องลูกข่ายจะสร้างการร้องขอเอชทีทีพีผ่านทางเว็บเบราว์เซอร์ เว็บครอว์เลอร์ หรือเครื่องมืออื่น ๆ ที่จัดว่าเป็น ตัวแทนผู้ใช้(user agent) ส่วนเครื่องแม่ข่ายที่ตอบรับ ซึ่งเก็บบันทึกหรือสร้างทรัพยากร (resource) อย่างเช่นไฟล์เอชทีเอ็มแอลหรือรูปภาพจะเรียกว่า เครื่องให้บริการต้นทาง (origin server) ในระหว่างตัวแทนผู้ใช้กับเครื่องให้บริการต้นทางอาจมีสื่อกลางหลายชนิด อาทิพร็อกซี เกตเวย์ และทุนเนล เอชทีทีพีไม่ได้จำกัดว่าจะต้องใช้ชุดเกณฑ์วิธีอินเทอร์เน็ต (TCP/IP) เท่านั้น แม้ว่าจะเป็นการใช้งานที่นิยมมากที่สุดบนอินเทอร์เน็ตก็ตามโดยแท้จริงแล้วเอชทีทีพีสามารถ "นำไปใช้ได้บนโพรโทคอลอินเทอร์เน็ตอื่นๆหรือบนเครือข่ายอื่นก็ได้"เอชทีทีพีคาดหวังเพียงแค่การสื่อสารที่เชื่อถือได้ นั่นคือโพรโทคอลที่มีการรับรองเช่นนั้นก็สามารถใช้งานได้
ปกติเครื่องลูกข่ายเอชทีทีพีจะเป็นผู้เริ่มสร้างการร้องขอก่อน โดยเปิดการเชื่อมต่อด้วยเกณฑ์วิธีควบคุมการขนส่งข้อมูล (TCP) ไปยังพอร์ตเฉพาะของเครื่องแม่ข่าย (พอร์ต 80 เป็นค่าปริยาย) เครื่องแม่ข่ายเอชทีทีพีที่เปิดรอรับอยู่ที่พอร์ตนั้นจะเปิดรอให้เครื่องลูกข่ายส่งข้อความร้องขอเข้ามา เมื่อได้รับการร้องขอแล้ว เครื่องแม่ข่ายจะตอบรับด้วยข้อความสถานะอันหนึ่ง ตัวอย่างเช่น "HTTP/1.1 200 OK" ตามด้วยเนื้อหาของมันเองส่งไปด้วย เนื้อหานั้นอาจเป็นแฟ้มข้อมูลที่ร้องขอข้อความแสดงข้อผิดพลาด หรือข้อมูลอย่างอื่นเป็นต้น ส ทรัพยากรที่ถูกเข้าถึงด้วยเอชทีทีพีจะถูกระบุโดยใช้ตัวระบุแหล่งทรัพยากรสากล (URI) (หรือเจาะจงลงไปก็คือ ตัวชี้แหล่งในอินเทอร์เน็ต (URL)) โดยใช้ http: หรือ https: เป็นแผนของตัวระบุ (URI scheme)


3.2 HTTPS
            HTTPS ย่อมาจาก Hypertext Transfer Protocol Secure หรือ Hypertext Transfer Protocol Over SSL(Secure Socket Layer) เป็นการทำงานเหมือนกับ HTTP ธรรมดาแต่ทำอยู่บน SSL เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการส่งข้อมูลมากยิ่งขึ้น  มีรูปแบบดังนี้
การใช้งาน URL จะเข้าต้นด้วย https://  ตามด้วยชื่อของเว็ปไซต์  
ทำงานที่พอร์ต(port) 443 (มาตรฐาน)
ส่งข้อมูลเป็นแบบ Cipher text คือ มีการเข้ารหัสข้อมูลในระหว่างการส่ง(Encryption)        สามารถถูกดักจับได้  แต่อ่านข้อมูลนั้นไม่รู้เรื่อง 
มีการทำ Authentication เพื่อตรวจสอบยืนยันระบุตัวตน


3.3 POP3 
            POP3 คือโปรโตคอล (Protocol) ที่ใช้รับ E-Mail โดยเป็น Protocol ประเภทที่เรียกว่า Message Access Protocol ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดโดยในปัจจุบันมีการพัฒนาโปรโตคอลนี้มาจนถึงเวอร์ชั่น 3POP3 จะมีลักษณะที่เน้นการทำงานแบบ Offline นั่นหมายถึงเราสามารถเขียน Email ไว้ในเครื่องของเราโดยไม่จำเป็นต้องต่ออินเตอร์เน็ตเมื่อใดที่เราต่ออินเตอร์เน็ตเราสามารถส่ง Email นั้นออกไปยัง Email Server ของเรา เพื่อส่งต่อไปยัง E-mail Server ของผู้รับส่วนในด้านของการรับ Email นั้นอีเมล์จากผู้ส่งจะถูกส่งมาเก็บไว้ที่ Email server ของเราจากนั้นเมื่อเราต่ออินเตอร์เน็ตเราสามารถเรียกอีเมล์นั้นจากอีเมล์เซิฟเวอร์ลงมายังเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราโดยเรียกผ่านโปรแกรมประเภท E-mail client เช่น Microsoft Outlook หรือ Outlook Express เมื่ออีเมล์นั้นถูกดึงลงมายังเครื่องของเราแล้วเราสามารถสั่งให้ลบ Email นั้นบน Email Server ก็ได้หรือจะให้เก็บเอาไว้ก่อนก็ได้ในกรณีที่เราสั่งให้เก็บ Email นั้นไว้บนServer ซอฟต์แวร์ Email client ที่เราใช้จะจดจำเอาไว้ว่าอีเมล์ฉบับไหนที่เรา Download มาแล้วบ้างเพื่อป้องกันการ Download ซ้ำนั่นเองเมื่ออีเมล์นั้นถูกดึงลงมายังเครื่องของเราแล้วเราสามารถจัดการอีเมล์นั้นได้แบบ Offline กล่าวคือ สามารถอ่าน แก้ไข ลบ ส่งต่อ หรือตอบอีเมล์นั้นๆได้ทันทีและอีเมล์นั้นๆจะถูกเก็บไว้ในเครื่องของเราจนกว่าเราจะสั่งลบเอง


3.4 SMTP
            SMTP  ย่อมาจาก  
Simple Mail Transfer Protocol ตามความเข้าใจง่าย ๆ มันคือรูปแบบในการส่งอีเมล์
เป็นโปรโตคอล ของ TCP/IP ใช้ในการส่งและรับ E-mail แต่ SMTP มีความจำกัดในด้านแถวคอย (Queue)ของ message ในด้านรับ ตามปกติจะใช้ร่วมกับโปรโตคอลอื่นอีกตัว เช่น POP3 หรือ Internet Message Access Protocol เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเก็บเมล์ไว้ใน server mailbox และ ดาวน์โหลดจาก server ในอีกความหมาย คือ SMTP ใช้สำหรับการส่งเมล์ของผู้ใช้ และ POP3 หรือ IMAP ใช้สำหรับเมล์แล้ว เก็บไว้ในเครื่องแม่ข่าย โปรแกรม E-mail ส่วนใหญ่ เช่น Eudora ให้ผู้ใช้ระบุได้ทั้ง SMTP server และ POP Server บนระบบ UNIX การส่งเมล์ใช้ SMTP server ส่วนแพ็คเกตการส่งเมล์เชิงพาณิชย์ได้รวม POP server และมาพร้อมกับ Window NTSMTP ได้รับสนับสนุนให้กำกับพอร์ต 25 ของ Transmission Control Protocol รายละเอียดของ SMTP อยู่ใน Request for Comment 821 ของ Internet Engineering Task Force (IETF) ตัวเลือกอื่นนอกจาก SMTP คือ X.400 ซึ่งใช้กันอย่างกว้างขวางในยุโรป
           SMTP ก็เปรียบเสมือน ผู้ให้บริการส่งจดหมาย แต่จดหมายนี้มันอยู่ในรูปแบบ digital จับต้องไม่ได้ ดังนั้น ผู้ให้บริการแต่ละที่ก็ต้องตรวจสอบคุณก่อนเลยว่าคุณเป็นลูกค้าหรืออยู่ใน ฐานข้อมูลเค้าอยู่หรือไม่ ถ้าอยู่ ก็ยอมให้ส่งออกไป, smtp มักจะอยู่ในรูปแบบที่หลายๆคนคุ้นเคย คือ smtp.company.com เป็นต้น ซึ่งค่าเหล่านี้ จะถูกมอบให้โดยผู้ให้บริการ email server ของคุณ และ username ก็จะเป็นชื่ออีเมล์ของคุณ เช่น a@company.com , password ก็เป็น password เดียวกับ E-mail
            SMTP มันก็เปรียบเสมือน Server ขาออกของอีเมล์ ซึ่งจะถูกมอบให้มาจากผู้ให้บริการ email server hosting ซึ่งผู้ให้บริการแต่ละคนก็ยังมีข้อกำหนด ให้คุณส่งอีเมล์ได้ไม่เกิน 200 ฉบับ ต่อ ชม. เพราะผู้ให้บริการ ก็กลัวคุณ ส่ง Spam mail หรือโฆษณา ไปหาคนอื่น เพราะถ้ามีใครสักคนส่งเมล์ไปหาคนอื่น แทนที่ผู้รับ จะ block email คุณคนเดียว แต่กลับ block smtp ของผู้ให้บริการ email server ทำให้ผู้ใช้งานคนอื่นเดือดร้อนไปด้วย เพราะว่า email server ติด blacklistจากบทความจะสังเกตุได้ว่า smtp เป็นหัวใจหลักในการส่งอีเมล์เลยทีเดียว ดังนั้นคุณต้องมั่นใจว่าผู้ให้บริการ email server ของคุณต้องไม่ไปติด blacklist ของ Hotmail เพราะถ้าติด email ทั้งหมดใน email server ของคุณก็ส่งไปหาใครใน Hotmail ไม่ได้ ซึ่งคุณควรเลือกผู้ให้บริการที่มีความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะจะดีที่สุด


3.5 FTP
             FTP ย่อมาจาก File Transfer Protocol คือ โปรโตคอลเครือข่ายชนิดหนึ่ง ถูกนำใช้ในการถ่ายโอนไฟล์ ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ อย่างการถ่ายโอนไฟล์ระหว่าง ไคลเอนต์ (client) กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นแม่ข่าย เรียกว่า โฮสติง (hosting) หรือ เซิร์ฟเวอร์ ซึ่งทำให้การถ่ายโอนไฟล์ง่ายและปลอดภัยในการแลกเปลี่ยนไฟล์ผ่านอินเตอร์เน็ต การใช้ FTP ที่พบบ่อยสุด ก็เช่น การดาวน์โหลดไฟล์จากอินเทอร์เน็ต ความสามารถในการถ่ายโอนไฟล์ ทำให้ FTP เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนที่สร้างเว็บเพจ ทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพ โดยที่การติดต่อกันทาง FTP เราจะต้องติดต่อกันทาง Port 21 ซึ่งก่อนที่จะเข้าใช้งานได้นั้น จะต้องเป็นสมาชิกและมีชื่อผู้เข้าใช้ (User) และ รหัสผู้เข้าใช้ (password) ก่อน และโปรแกรมสำหรับติดต่อกับแม่ข่าย (server) ส่วนมากจะใช้โปรแกรมสำเร็จรูป เช่น โปรแกรม Filezilla,CuteFTP หรือ WSFTP ในการติดต่อ เป็นต้นFTP แบ่งเป็น 2 ส่วน
1. FTP server  เป็นโปรแกรมที่ถูกติดตั้งไว้ที่เครื่องเซิฟเวอร์ ทำหน้าที่ให้บริการ FTP หากมีการเชื่อมต่อจากไคลแอนเข้าไป
2. FTP client  เป็นโปรแกรม FTP ที่ถูกติดตั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์ของ user ทั่วๆไป ทำหน้าที่เชื่อมต่อไปยัง FTP server และทำการอัพโหลด ,ดาวน์โหลดไฟล์ หรือ จะสั่งแก้ไขชื่อไฟล์, ลบไฟล์ และเคลื่อนย้ายไฟล์ก็ได้เช่นกันความสำคัญของ FTPโดยปกติเมื่อเราต้องการทำเว็บไซต์ไม่ว่าด้วยจุดประสงค์ใดก็ตาม สิ่งที่เราจะต้องนึกถึงและขาดไม่ได้คือ Hosting หรือ Server ซึ่งในปัจจุบันมีผู้ให้บริการอยู่เป็นจำนวนมาก การที่เว็บไซต์ของเราสามารถให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่มีหยุดนั้น ก็เพราะ Hosting ไม่เคยปิดนั่นเอง ส่วนการสร้างเว็บไซต์เกิดจากการเขียน Code โปรแกรม ไม่ว่าจะเขียนด้วยภาษา HTML PHP ASP , ฯลฯ ล้วนแล้วแต่ต้องนำไฟล์ที่เราเขียนเสร็จเรียบร้อยไปใส่บน Hosting เพื่อสามารถให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง 365 วัน แต่ด้วยหนทางที่อยู่ไกลกันระหว่างเรากับ Hosting ที่เราขอใช้บริการไว้ เราจึงต้องใช้เทคโนโลยีของคอมพิวเตอร์ ในการโอนย้ายไฟล์ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา กับ Hosting ซึ่งเทคโนโลยีนั้นคือ FTP นั่นเอง


3.6 IP
            อินเทอร์เน็ตโพรโทคอล ย่อว่า ไอพี​ ( Internet Protocol: IP) หรือ เกณฑ์วิธีอินเทอร์เน็ตเป็นโพรโทคอลการสื่อสารที่สำคัญใน Internet protocol suite สำหรับถ่ายทอดดาต้าแกรม(หน่วยข้อมูลพื้นฐานของแพ็กเกต ซึ่งการส่ง, เวลาถึงและลำดับที่ถึง ไม่ถูกรับประกันโดยเครือข่าย)ข้ามเขตแดนเครือข่าย ฟังก์ชันการกำหนดเส้นทางของมันจะช่วยงานภายในเครื่อข่ายและก่อตั้งระบบอินเทอร์เน็ตขึ้น การทำงานของไอพีเป็นการทำงานแบบไม่รับประกันความถูกต้องของข้อมูลรุ่นปัจจุบันคือ IPv4 และกำลังอยู่ในช่วงผลักดันให้ใช้ IPv6ในอดีต IP เป็นบริการดาต้าแกรมแบบ connectionless ใน Transmission Control Program เดิมที่ถูกแนะนำโดย Vint Cerf และบ๊อบ คาห์นในปี 1974; อีกตัวหนึ่งเป็น Transmission Control Protocol (TCP) แบบ connection-oriented ชุดโพรโทคอลอินเทอร์เน็ตจึงมักจะเรียกว่า TCP / IPรุ่นแรกของ IP, Internet Protocol เวอร์ชัน 4 (IPv4) เป็นโพรโทคอลที่โดดเด่นของอินเทอร์เน็ต ผู้รับช่วงต่อของมันคือ Internet Protocol เวอร์ชัน 6 (IPv6)ไอพีมีหน้าที่นำส่งแพ็กเกตจากโฮสต์ต้นทางไปยังโฮสต์ปลายทางตามที่อยู่ IP ในส่วนหัวของแพ็กเกต. เพื่อจุดประสงค์นี้ IP กำหนดโครงสร้างแพ็คเกตที่ encapsulate ข้อมูลที่จะส่งมอบ. นอกจากนี้ยังกำหนดวิธีการสร้างที่อยู่ที่ใช้ติดป้ายดาต้าแกรมเพื่อบอกแหล่งที่มาและข้อมูลปลายทางต่างๆารกำหนด IP address


การกำหนดเส้นทาง
             การกำหนด
IP address จะให้รายละเอียดของที่อยู่ IP และพารามิเตอร์ที่เกี่ยวข้องให้กับอินเตอร์เฟสของโฮสต์ พื้นที่ที่อยู่แบ่งออกเป็นเครือข่ายหลักและเครือข่ายย่อย ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดของเครือข่ายหรือคำนำหน้าของการ route. การ route IP จะดำเนินการโดยโฮสท์ทุกตัว แต่ที่สำคัญที่สุดคือตัว route หรือเราเตอร์ซึ่งขนส่งแพ็กเกตข้ามเขตแดนเครือข่าย. เราเตอร์สื่อสารด้วยกันเองผ่านทางโพรโทคอลการเร้าต์ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ,อย่างใดอย่างหนึ่งได้แก่ interior gateway protocols หรือ exterior gateway protocols เท่าที่จำเป็นสำหรับโครงสร้างใดๆของเครือข่ายการเร้าต์ IP เป็นเรื่องธรรมดาในเครือข่ายท้องถิ่น ยกตัวอย่างเช่นสวิตช์อีเธอร์เน็ตจำนวนมากสนับสนุนการดำเนินงานแบบ IP multicast . สวิทช์เหล่านี้ใช้ที่อยู่ IP และ Internet Group Management Protocol ในการควบคุม multicast routing แต่ใช้ที่อยู่ของ MAC สำหรับการเร้าต์จริง


ความน่าเชื่อถือ

            Internet Protocol ใช้หลักการแบบ end-to-end ในการออกแบบ ภายใต้การออกแบบนี้โครงสร้างพื้นฐานของเครือข่ายจะถือว่าโดยเนื้อแท้แล้วไม่น่าเชื่อถือในองค์ประกอบของเครือข่ายตัวใดตัวหนึ่ง ๆ หรือตัวกลางการส่งใดๆและสันนิษฐานว่าเป็นแบบไดนามิกในแง่ของความพร้อมของการเชื่อมโยงและของโหนด ไม่มีการตรวจสอบกลางหรือเครื่องมือการวัดผลการดำเนินงานที่จะตามรอยหรือรักษาสถานะภาพของเครือข่าย. เพื่อประโยชน์ในการลดความซับซ้อนของเครือข่าย, อัจฉริยภาพในการแก้ไขข้อผิดพลาดในเครือข่ายส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในโหนดสุดท้ายของการส่งข้อมูลแต่ละครั้ง เราเตอร์ต่างๆภายในเส้นทางของการส่งจะ forward แพ็กเกตไปให้เกตเวย์ข้างหน้าที่สามารถเข้าถึงได้โดยตรงและตรงกับคำนำหน้าเส้นทางสำหรับที่อยู่ปลายทางผลจากการออกแบบแบบนี้, Internet Protocol เพียงแต่พยายามส่งให้ดีที่สุดเท่านั้นและการบริการอยู่ในฐานะที่ไม่น่าเชื่อถือ ในภาษาของสถ​​าปัตยกรรมเครือข่าย, มันเป็นโพรโทคอลแบบ connectionless ซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่เรียกว่าโหมดการส่งแบบ connection-oriented เงื่อนไขข้อผิดพลาดต่างๆที่อาจเกิดขึ้นเช่นความเสียหายของข้อมูล, การสูญหายของแพ็กเกต, การส่งซ้ำและการส่งมอบที่ไม่เป็นไปตามลำดับก่อนหลัง. เพราะว่าการเร้าติ้งเป็นแบบไดนามิกซึ่งหมายความว่าทุกๆแพ็กเกตจะได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นอิสระ, และเพราะว่าเครือข่ายไม่ใช้สถานะเดิมของเส้นทางของแพ็กเกตที่มาถึงก่อนหน้า, มันจึงเป็นไปได้ว่าบางแพ็กเกตจะถูกส่งไปปลายทางในเส้นทางอื่น เป็นผลให้ข้อมูลที่ได้รับไม่อยู่ในลำดับที่ถูกต้องInternet Protocol Version 4 (IPv4) ให้การป้องกันเพื่อให้แน่ใจว่าส่วนหัวของแพ็กเกต IP ปราศจากข้อผิดพลาด โหนดการกำหนดเส้นทางจะคำนวณ checksum ของแพ็กเกต ถ้า checksum ไม่ดี, โหนดกำหนดเส้นทางจะทิ้งแพ็กเกต โหนดการกำหนดเส้นทางไม่ต้องแจ้งให้โหนดปลายทั้งสอง แต่ Internet Control Message Protocol (ICMP) ช่วยแจ้งเตือนดังกล่าว. ในทางตรงกันข้าม ในการที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและเนื่องจากเทคโนโลยีเลเยอร์การเชื่อมโยงในปัจจุบันถูกสันนิษฐานว่าการตรวจสอบข้อผิดพลาดมีอย่างเพียงพอ, ดังนั้นส่วนหัวของ IPv6 จึงไม่มี checksum เพื่อป้องกันดังกล่าวเงื่อนไขข้อผิดพลาดทั้งหมดในเครือข่ายจะต้องได้รับการตรวจพบและได้รับการชดเชยโดยโหนดสุดท้ายของการส่งผ่าน โพรโทคอลชั้นบนของชุดโพรโทคอลอินเทอร์เน็ตมีความรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือ ตัวอย่างเช่นโฮสต์อาจเก็บข้อมูลเครือข่ายไว้ใน cache memory เพื่อให้แน่ใจว่าลำดับการส่งถูกต้องก่อนที่ข้อมูลจะถูกส่งไปยังแอปพลิเคชัน


กำลังการผลิตและความสามารถในการเชื่อมโยง
            ธรรมชาติที่เป็นไดนามิกของอินเทอร์เน็ตและความหลากหลายของส่วนประกอบไม่สามารถรับประกันได้ว่าเส้นทางใดๆมีความสามารถจริงๆที่จะ
, หรือมีความเหมาะสมสำหรับ, การดำเนินการส่งข้อมูลตามที่ร้องขอ, แม้ว่าเส้นทางจะมีอยู่และเชื่อถือได้. หนึ่งในข้อจำกัดทางเทคนิคคือขนาดของแพ็กเกตข้อมูลที่ยอมให้วิ่งบนการเชื่อมโยงที่กำหนดให้ แอปพลิเคชันจะต้องมั่นใจว่าได้ใช้ลักษณะสมบัติของการส่งที่เหมาะสม ความรับผิดชอบนี้บางส่วนยังอยู่ในโพรโทคอลชั้นบน สิ่งอำนวยความสะดวกมีอยู่เพื่อตรวจสอบขนาดของ maximum transmission unit (MTU) ของการเชื่อมโยงท้องถิ่นและการกู้คืนเส้นทาง MTU สามารถถูกนำมาใช้สำหรับเส้นทางที่คาดการณ์ทั้งหมดไปยังปลายทาง. IPv4 ชั้น Internetworking มีความสามารถอย่างอัตโนมัติในการตัดดาต้าแกรมออกเป็นชิ้นเล็กๆสำหรับการส่ง ในกรณีนี้ IP จะจัดลำดับชิ้นเล็กๆนั้นให้ใหม่ถ้ามันถูกส่งมาไม่อยู่ในลำดับที่ถูกต้อง.Transmission Control Protocol (TCP) เป็นตัวอย่างของโพรโทคอลที่ปรับขนาดเซ็กเมนท์ให้มีขนาดเล็กกว่า MTU. User Datagram Protocol (UDP) และ Internet Control Message Protocol (ICMP) ไม่สนใจขนาด MTU จึงบังคับ IP ให้ตัดย่อยต้าแกรมที่มีขนาดใหญ่เกินไป.


การรักษาความปลอดภัย
            ในระหว่างขั้นตอนการออกแบบของอาร์พาเนตและอินเทอร์เน็ตตอนต้น
, ด้านการรักษาความปลอดภัยและความต้องการของประชาชน, เครือข่ายระหว่างประเทศไม่อาจจะคาดเดาได้เพียงพอ ผลก็คือ โพรโทคอลอินเทอร์เน็ตจำนวนมากแสดงให้เห็นช่องโหว่โดยถูกเน้นให้เห็นโดยการโจมตีเครือข่ายและการประเมินผลการรักษาความปลอดภัยในภายหลัง ในปี 2008 การประเมินความปลอดภัยอย่างละเอียดและข้อเสนอการบรรเทาผลกระทบของปัญหาถูกตีพิมพ์. Internet Engineering Task Force (IETF) ได้ทำการศึกษาต่อไปตั้งแต่นั้น.

3.7 TCP/IP
เครื่องคอมพิวเตอร์บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสื่อสารระหว่างกันโดยใช้ Transmission Control Protocol (TCP) และ Internet Protocol (IP) รวมเรียกว่า TCP/IP ข้อมูลที่ส่งจะถูกตัดออกเป็นส่วน ๆ เรียกว่า packet แล้วจ่าหน้าไปยังผู้รับด้วยการกำหนด IP Address เช่น สมมติเราส่งอีเมล์ไปหาใครสักคน อีเมล์ของเราจะถูกตัดออกเป็น packet ขนาดเล็กหลาย ๆ อัน ซึ่งแต่ละอันจะจ่าหน้าถึงผู้รับเดียวกัน packets พวกนี้ก็จะวิ่งไปรวมกับ packets ของคนอื่น ๆ ด้วย ทำให้ในสายของข้อมูล packets ของเราอาจจะไม่ได้เรียงติดกัน packets พวกนี้จะวิ่งผ่านชุมทาง (gateway) ต่าง ๆ โดยชุมทาง gateway (อาจเรียก router) จะอ่านที่อยู่จ่าหน้าแล้วจะบอกทิศทางที่ไปของแต่ละ packet ว่าจะวิ่งไปในทิศทางไหน packet ก็จะวิ่งไปตามทิศทางนั้นเมื่อไปถึง gateway ใหม่ก็จะกำหนดเส้นทางให้วิ่งไปยัง gateway ใหม่ที่อยู่ถัดไป จนกว่าจะวิ่งถึงปลายทางเมื่อ packet วิ่งมาถึงปลายทางแล้วเครื่องปลายทางก็จะเอา packets เหล่านั้นมาเก็บสะสมจนกว่าจะครบ จึงจะต่อกลับคืนให้เป็น e-mail 


http://luckdena.blogspot.com/2008/07/blog-post_23.html




3.8 DHCP
DHCP ทำหน้าที่อะไร
            หน้าที่หลักๆของ DHCP (Dynamic Host Configuration Protocol) คือคอยจัดการและแจกจ่ายเลขหมายไอพีให้กับลูกข่ายที่มาเชื่อมต่อกับแม่ข่ายไม่ให้หมายเลขไอพีของลูกข่ายมีการซ้ำกันอย่างเด็ดขาด อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่งได้ทำการเชื่อมต่อกับ DHCP Server เครื่องเซฟเวอร์ก็จะให้ หมายเลขไอพีกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มาทำการต่อเชื่อมแบบอัตโนมัติ ซึ่งไม่ว่าจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อมากเท่าไร DHCP Server ก็จะออกเลยหมายไอพีให้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องไม่ซ้ำกันทำให้เครือข่ายนั้นไม่เกิดปัญหาในการใช้งาน

http://www.xn--12cg1cxchd0a2gzc1c5d5a.net/dhcp/




3.9 IMAP
หลักการทำงานของ IMAP
การทำงานของโปรโตคอล IMAP นั้นจะทำงานแบบออนไลน์ด้วยการจัดการและประมวลผลต่าง ๆทางออนไลน์จาก Mail Server ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือนว่ามีการเปิดอ่านเมล์ใหม่หรือยัง หรือการลบเมล์ที่มีอยู่ใน อินบล็อคออกไป โดยการทำงานทั้งหมดจะอยู่ที่ Mail Server เป็นตัวจัดการ ซึ่งผู้ใช้งานเพียงแต่ทำงานอ่านและจัดการสั่งงานเพียงเท่านั้น เราสามารถอธิบายการทำงานของระบบ IMAP ให้เห็นภาพได้ชัดขึ้นไปอีกก็คือ เมื่อเราเปิดอ่านเมล์ในมือถือและทำการลบเมล์นั้นทิ้งไปแล้ว เมื่อเราไปเปิดอีเมล์ในคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่น ๆอีเมล์ที่ลบไปแล้วจะไม่โชว์ให้เราเห็น ซึ่งต่างจากโปรโตคอล POP อย่างสิ้นเชิง เพราะการทำงานของ POP เมื่อเราลบอีเมล์จากคอมพิวเตอร์ออกไปแล้วเมื่อเราไปเปิดอีเมล์จากมือถือเราก็ยังพบอีเมล์ที่ถูกลบไปแล้วในคอมพิวเตอร์อยู่นั่นเอง
http://www.comgeeks.net/imap/



3.10 ARP
การทำงานของ ARP
            การทำงานของ ARP คือเครื่องที่ต้องการสอบถาม MAC Address จะส่ง ARP Request ซึ่งบรรจุ IP , MAC Address ของตนเอง และ IP Address ของเครื่องที่ต้องการทราบ MAC Address ส่วน MAC Address ปลายทางนั้น จะถูกกำหนดเป็น FF:FF:FF:FF:FF:FF ซึ่งเป็น Broardcast Address เพื่อให้ ARP packet ถูกส่งไปยังเครื่องทุกเครื่องที่อยู่ในเน็ตเวิร์คเดียวกัน

http://icesuntisuk.blogspot.com/2014/06/arp-protocol-address-resolution-protocol.html





3.11 RARP
การทำงานของ  RARP
            โปรโตคอล RARP จะมีการทำงานที่คล้ายคลึงกับโปรโตคอล ARP โดยจะทำงานในลักษณะตรงกันข้าม ด้วยการแปลงหมายเลขแมคแอดเดรสให้เป็นหมายเลขไอพี ซึ่งโปรโตคอล RARP นี้ออกแบบมาเพื่อใช้งานกับคอมพิวเตอร์ที่ปราศจากดิสก์หรือฮาร์ดดิสก์ (Diskless Computer) ดังนั้นเวลาบูตเครื่องจึงจำเป็นต้องบูตจากระบบปฏิบัติการเครือข่ายของเซิร์ฟเวอร์บนเครือข่าย โดยเซิร์ฟเวอร์บนเครือข่ายจะจัดเก็บตารางความสัมพันธ์ระหว่างแมคแอดเดรสกับหมายเลขไอพี โฮสต์ที่ต้องการหมายเลขไอพีจะทำการบรอดแคสต์ RARP Query Packet ที่บรรจุฟิสิคัลแอดเดรสไปยังทุกๆ โฮสต์บนเครือข่าย จากนั้นเครื่องเซิร์ฟเวอร์บนเครือข่ายก็จะจัดการกับ RARP Packet ด้วยการตอบกลับไปด้วยหมายเลขไอพีไปยังโฮสต์นั้น 
http://pramnaja.blogspot.com/2007/12/blog-post_06.html



3.12 ICMP
การทำงานของ   ICMP
            รูปแบบการทำงานของโปรโตคอล  ICMP จะทำควบคู่กับโปรโตคอล IP ในระบบเดียวกัน และข้อความต่าง ๆ ที่แจ้งให้ทราบจะถูกรวมอยู่ภายในข้อมูล  IP Packet อีกทีหนึ่ง หรือ เป็นผู้รายงานความผิดพลาดในนามของ IP เมื่อโปรโตคอลเกิดความผิดพลาดโดยไม่สามารถกู้คืนได้  Packet  ก็จะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้    
  •   ยกเลิก Packet แล้วรายงานความผิดพลาดกลับมายังผู้ส่ง ข้อความที่ส่งไปนั้นก็จะถูกทิ้ง
  •   การแจ้งหรือแสดงข้อความจากระบบ เพื่อบอกให้ผู้ใช้ ทราบว่า เกิดอะไรขึ้นในการส่งผ่านข้อมูลนั้น 
  •   โปรโตคอล ICMP ยังถูกเรียกใช้งานจากเครื่อง Server และ Router อีกด้วย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ใช้ควบคุม
  •   เมื่อมีการส่งผ่านข้อมูลจากผู้ใช้ไปยังปลายทางที่ไม่ถูกต้อง หรือขณะนั้นเครื่องปลายทางเกิดปัญหา  จนไม่สามารถรับ   ข้อมูลได้
  •   Router จะส่งข้อความแจ้งเป็น ICMP Message ที่ชื่อ Destination Unreachable ให้กับผู้ส่งข้อมูลนั้น นอกจากนี้ตัวข้อมูลที่แจ้งข้อความ จะมีส่วนของข้อมูล IP Packet ที่เกิดปัญหาด้วย
 โปรโตคอล ICMP จึงกลายมาเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการช่วยทดสอบเครือข่าย เช่น คำสั่ง Ping ที่เรามักใช้ทดสอบว่าเครื่อง Server ที่ให้บริการหรืออุปกรณ์ที่ต่ออยู่ในเครือข่ายอินเตอร์เน็ตนั้นยังทำงานเป็นปกติหรือไม่  



3.13 6 protocol 
-NetBEUI (NetBIOS Extended User Interface)
เป็นโปรโตคอลที่เหมาะสำหรับระบบ เครือข่ายขนาดเล็กเนื่องจากโปรโตคอลนี้ใช้วิธีกระจายสัญญาณไปทั่วทั้งเครือข่าย
ไม่สามารถหาเส้นทาง (route) ไปยังคอมพิวเตอร์ที่ร้องขอข้อมูลได้ ข้อดีของโปรโตคอลนี้คือการติดตั้งซอฟต์แวร์เครือข่าย
ไม่ยุ่งยากซับซ้อน

-IPX/SPX (Internet Packet Exchange)
เป็นโปรโตคอลที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อนำไปใช้กับระบบเครือข่ายของ Netware โปรโตคอลนี้มีความสามารถในการหาเส้นทาง
ได้ แต่ก็ไม่ดีเท่ากับ TCP/IP ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับเครือข่ายขนาดเล็กถึงระดับกลางเท่านั้น ปัจจุบัน Netware ได้พัฒนาความ
สามารถจนสามารถรองรับเครือข่ายขนาดใหญ่ และมีโปรโตคอลให้เลือกใช้หลากหลายขึ้น

-โพรโทคอลเอสเอ็นเอ (System Network Architecture; SNA)
รูปแบบโครงสร้างแบบเอสเอ็นเอเป็นหนึ่งในรูปแบบโครงสร้างระบบเครือข่ายวงกว้างสำหรับการสื่อสารระหว่าง
เครื่องเมนเฟรมกับเทอร์มินอลที่มีใช้งานมานานแล้ว บริษัทไอบีเอ็มได้พัฒนาระบบเอสเอ็นเอขึ้นมาใช้งานตั้งแต่ พ.ศ. 2517
โดยการกำหนดรายละเอียดวิธีการติดต่อสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ทั้งหมด เพื่อแก้ปัญหาในความแตกต่างของอุปกรณ์ในยุคนั้น
เนื่องจากบริษัทไอบีเอ็มเป็นเจ้าของระบบเอสเอ็นเอ จึงเน้นการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับอุปกรณ์ที่ผลิตโดยบริษัทไอบีเอ็มเป็นหลัก
อย่างไรก็ตามมีบริษัทอื่นอีกเป็นจำนวนมากที่ได้นำระบบเครือข่ายนี้ไปใช้อย่างแพร่หลายทำให้ระบบเครือข่ายเหล่านั้นสามารถติดต่อ
กับระบบเครือข่ายของไอบีเอ็มและของผู้อื่นได้ปัจจุบันระบบเอสเอ็นเอยังคงได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในขณะที่มีระบบเครือข่าย
อื่นที่ดีเกิดขึ้นมากมาย

-โพรโทคอล H.323
การสื่อสารแบบแพ็กเกตสวิท (Packet Switched Network) ใช้ โพรโทคอล H.323 สำหรับการส่งข้อมูลทุกชนิด  แบบเรียลไทม์ (Real-Time) การสื่อสารแบบนี้จะส่งข้อมูลจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งโดยแบ่งข้อมูลออกเป็นส่วนเล็ก ๆ เรียกว่า
แพ็กเกต เพื่อส่งไปยัง เป้าหมายตามสายสื่อสารที่เร็วที่สุดโพรโทคอลนี้ได้รับการรับรองมาตรฐานโดย ITU เมื่อเดือนตุลาคม
พ.ศ. 2539 ช่วยให้สามารถส่งข้อมูลเสียง ภาพ หรือนำมาใช้ในการประชุมทางไกลอิเล็กทรอนิกส์ได้



-โพรโทคอล X.25
คณะกรรมการ CCITT (Consultative Committee for International Telegraph and Telephone) ได้พัฒนา
โพรโทคอลมาตรฐานขึ้นมาเพื่อใช้ในการสื่อสารระหว่างประเทศ ผ่านระบบเครือข่ายที่ใช้แพ็กเกตสวิทชิ่ง เรียกว่า โพรโทคอล X.25
ระบบเครือข่ายที่ใช้แพ็กเกตสวิตชิ่ง (Packet-switching Network or Packet Distribution Network) จะแบ่งข้อมูลออก
เป็นส่วนเล็กๆ คือ แพ็กเกต เพื่อส่งออกทางสายสื่อสารความเร็วสูงไปยังผู้รับอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบเครือข่าย

- Protocol NNP หรือ Network News Transfer Protocol
คือโปรโตคอลในการโอนย้ายข่าวสารระหว่างกัน

- โพรโทคอลจัดการระดับบิต (Bit-Oriented Protocols)
เป็นแนวทางการทำงานที่รวมข้อมูลจริงและข้อมูลควบคุมเข้าด้วยกันเป็นโครงสร้างเรียกว่าเฟรม (Frame) ซึ่งจะต้อง
กำหนดรายละเอียดไว้อย่างชัดเจนเพื่อให้สามารถดึงข้อมูลแต่ละส่วนออกไปใช้ได้อย่างถูกต้อง บริษัทและองค์กรต่าง ๆ ได้กำหนด
โพรโทคอลประเภทนี้ขึ้นมาใช้งานอย่างแพร่หลาย



-โพรโทคอลจัดการแบบนับจำนวนไบต์ (Byte-Count-Oriented Protocols)
ปรับปรุงประสิทธิภาพของโพรโทคอลจัดการระดับตัวอักษรที่ใช้ตัวอักษรพิเศษโดยการเพิ่มข้อมูล จำนวนไบต์ของข้อมูล
ในบล็อก หมายเลขที่อยู่บนเครือข่าย และตัวอักษรควบคุมบล็อกเข้าไปแทน








Protocol ที่ทำงานใน OSI Model แต่ละ Layer

                         Protocol
โปรโตคอล คือ ข้อกำหนดหรือข้อตกลงในการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ หรือภาษาสื่อสารที่ใช้เป็น ภาษากลางในการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ด้วยกัน การที่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถูกเชื่อมโยงกันไว้ในระบบจะสามารถติดต่อสื่อสารกันได้นั้น จำเป็นจะต้องมีการสื่อสารที่เรียกว่า โปรโตคอล (Protocol) เช่นเดียวกับคนเราที่ต้องมีภาษาพูดเพื่อให้สื่อสารเข้าใจกันได้
โปรโตคอลช่วยให้ระบบคอมพิวเตอร์สองระบบ ที่แตกต่างกันสามารถสื่อสารกันอย่างเข้าใจได้
  คือข้อตกลงที่กำหนดเกี่ยว กับการสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ ทั้งวิธีการส่งและรับข้อมูล วิธีการตรวจสอบข้อผิดพลาดของการส่งและรับข้อมูล การแสดงผลข้อมูลเมื่อส่งและรับกันระหว่างเครื่องสองเครื่อง ดังนั้นจะเห็นได้ว่าโปรโตคอลมีความสำคัญมากในการสื่อสารบนเครือข่าย หากไม่มีโปรโตคอลแล้ว การสื่อสารบนเครือข่ายจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้

Data Link Layer
Data Link Layer หรือเรียกชั้น สื่อกลางของการส่งข้อมูล เพราะจะต้องมีการ ระบุหมายเลข addressของอุปกรณ์ต่างๆ ที่เรียกว่าMAC Address หน่วยของ layer นี้คือ Frame ตัวอย่างของ protocol
ในชั้นนี้คือ Ethernet , Token Ring , IEEE 802.3/202.2 , Frame Relay, FDDI,HDLC,ATM , MPLS เป็นต้น












เอฟดีดีไอ (FDDI) คืออะไร
เอฟดีดีไอ หรือเรียกอีกชื่อเต็มว่า Fiber Distributed Data Interface:FDDI คือ หน่วยงาน ANSI ได้ทำการกำหนดโปรโตรคลอที่ใช้งานบนเครือข่ายท้องถิ่น โดยมีการควบคุมแบบโทเค็ริง ด้วยการส่งข้อมูลที่มีความเร็วถึง 100 เมกะบิตต่อวินาทีบนสายเคเบิลใยแก้วนำแสง กลไกการส่งข้อมูลบนเครือข่ายเอฟดีดีไอจะใช้ Token Passing เช่นเดียวกับไอบีเอ็มโทเค็นริง แต่เอฟดีดีไอ(FDDI) จะทำงานด้วยความเร็วที่สูงกว่า ประกอบกับเครือข่ายเอฟดีดีไอยังสามารถที่จะออกแบบเพื่อรอบรับในความเสียหาของระบบได้ดี ด้วยการเพิ่มวงแหวนในระบบเครือข่ายอีก รวมเป็น 2 วงแหวนด้วยกัน ซึ่งประกอบด้วยวงแหวนปฐมภูมิและวงแหวนทุติยภูมิ 

วงแหวนปฐมภูมิ(Primary Ring) คือ วงแหวนหลักด้านนอกซึ่งใช้เป็นสายส่งข้อมูลหลักภายในระบบเครือข่าย โดยรหัสโทเค็นจะวิ่งวนรอบวงแหวนทิศทางใดก็ทิศทางหนึ่ง
วงแหวนทุติยภูมิ(Secondary Ring) คือวงแหวนสำรองที่อยู่ด้านในสุด โทเค็นที่อยู่ในวงแหวนด้านในจะวิ่งในทิศทางตรงกันข้ามกับวงแหวนด้านนอก โดยวงแหวนทุติยภูมิจะถูกใช้งานก็ต่อเมื่อวงแหวนปฐมภูมิเกิดปัญหาเท่านั้น เช่น สายเคเบิลที่วงแหวนในปฐมภูมิเกิดการขาด และเมื่อเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น วงจรภายในวงแหวนทุติยภูมิก็จะเริ่มทำงานทันทีด้วยการเชื่อมต่อเข้ากับวงแหวนปฐมภูมิ ทำให้สามารถประคับประคองระบบให้ยังคงสามารถทำงานต่อไปได้ โดยเทเค็นเองก็ยังคงสามารถวิ่งภายในรอบวงแหวนได้เช่นเดิม ทำให้เครือข่ายสามารถดำเนินการต่อได้ตามปกติ

Network Layer
Network Layer ในชั้นนี้จะกล่าวถึง โปรโตคอล ต่างๆ เช่น IP, Novell's IPX , IBM's APPN ,Appletalk เป็นต้น การทำงานในชั้นนี้จะเป็นการเชื่อมต่อและการเลือกเส้นทาง การนำพาข้อมูลระหว่างเครื่องสองเครื่องในเครือข่าย หน่วยของ layer นี้คือ packetสำหรับผู้ที่จะสอบ CCNA จะต้องเข้าใจ เรื่องของ IP Address ทั้ง IPv4 ( IP version 4 )และ IPv6 ( IP version 6) โดยเฉพาะ IPv4 จะต้องคำนวณได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ และยังต้องมีความรู้เกี่ยวกับ Protocol ICMP , ARP อีกด้วย ซี่งจะอธิบายในบทต่อๆไป
ยกตัวอย่าง IP Protocol ซึ่ง ทำงานในระดับ Network Layer นี้   ข้อมูลใน Layer นี้  เรียกว่า IP Datagram ซึ่งมีการปะ Header ซึ่งมีข้อมูลต่างๆ ที่จะใช้ในการส่งให้ถึงปลายทาง



https://sites.google.com/site/suchawdisakdisunthr54/h04/41/4-2-data-link-layer/43



Transport Layer
Transport Layer ในชั้นนี้จะเป็นการแบ่งข้อมูลใน Layer ต่างๆให้พอเหมาะกับการใช้งานเช่นอาจจะแบ่งข้อมูลในส่วนของ Layer บนให้พอเหมาะกับการจัดส่งลงไปใน Layer ล่าง ซึ่งเรียกว่า Segmentationprotocol ในชั้นนี้คือ TCP,UDP,SPXหรือจะเรียกง่ายๆว่า ชั้นแห่งการขนส่ง สำหรับผู้ที่จะสอบCCNA ต้องเข้าใจคุณสมบัติและความแตกต่างระหว่าง TCP (Transmission Control Protocol) และUDP (User DatagramProtocol) เป็นอย่างดี
TCP/IP (Transmitsion Control Protocol/Internet Protocol) เป็นชุดของโปรโตคอลที่ถูกใช้ในการสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สามารถใช้สื่อสารจากต้นทางข้ามเครือข่ายไปยังปลายทางได้ และสามารถหาเส้นทางที่จะส่งข้อมูลไปได้เองโดยอัตโนมัติ ถึงแม้ว่าในระหว่างทางอาจจะผ่านเครือข่ายที่มีปัญหา โปรโตคอลก็ยังคงหาเส้นทางอื่นในการส่งผ่านข้อมูลไปให้ถึงปลายทางได้









Session Layer 
Session Layer  ชั้นนี้จะเป็นตัวควบคุมการส่งผ่านข้อมูลการสื่อสาร จากต้นทางไปยังปลายทาง ให้มีความสอดคล้องกัน โดยไม่เกิดผลกระทบต่ออินเตอร์เฟสต่างๆ protocol ในชั้นนี้คือ RPC, SQL,Netbios , Windows socket, NFS เป็นต้นสำหรับ Session Layer นี้จะเปรียบเหมือนชั้นแห่งการเข้าถึงApplication ต่างๆยกตัวอย่าง ที่เห็นได้ชัด กรณีเราเข้า Program เกี่ยวกับNetwork ที่เห็นได้ชัดสุด เช่นmsnmessenger ช่วงที่connecting อยู่นั้น จะเป็นช่วงของ session layer จะเป็นชั้นที่บอกว่าจะ เข้าสู่Application ได้หรือไม่
NFS ย่อมาจาก Network File System คือบริการที่ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถเข้าถึงไฟล์และไดเรกทอรี บนเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นได้เหมือนกับใช้งานเครื่องของตัวเอง โดยสามารถใช้บริการได้อย่างสะดวก ง่ายและมีประสิทธิภาพที่ดีผ่านระบบเครือข่ายเน็ตเวิรค โดยระบบปฏิบัติการของเครื่องเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องเป็นระบบปฏิบัติการเดียวกันกับเครื่องแม่ข่ายที่ให้บริการ NFS (เครื่อง NFS Server)  การทํางานของ NFS จะมีลักษณะเป็น Client Server

Presentation Layer
Presentation Layer เป็นชั้นที่จะแสดงผลออกมาในรูปของ ภาพต่างๆที่เรามองเห็น เช่น รูปภาพ ที่ปรากฏบนจอคอมพิวเตอร์ และอาจจะรวมไปถึง การส่งผ่านข้อมูลต่างๆในรูปแบบของตัวโปรแกรม ที่มีการเข้ารหัส ว่ามีผลเป็นอย่างไร protocol ที่ใช้งานในชั้นนี้คือ JPEG, ASCII, Binary,EBCDICTIFF, GIF,MPEG, Encription เป็นต้นต่อจาก Session Layer ยกตัวอย่าง msn messenger ช่วงที่connecting ถ้าnetwork ปกติ user และ password ถูกต้อง จะสามารถเข้าสู่msn messenger ได้ จะมีหน้าตาของApplication ขึ้นมา ซึ่งก็คือ file ภาพต่างๆนั่นเอง อาจจะเป็น JPEG , BMP เป็นต้น



Application Layer
Application Layer หรือ Process Layer เป็นลำดับชั้นการทำงานของโปรโตคอล TCP/IP ตามมาตฐาน DoD - Reference Model ซึ่งเมื่อนำมาเทียบกับมาตรฐานของ OSI - Reference Model นั้น ในชั้นบนสุดที่เรียกว่า Process Layer ของ DoD - Model จะทำงาน 2 หน้าที่เทียบได้กับ Application Layer และ Presentation Layer ของ OSI - Reference Model ในชั้นนี้จะรองรับการทำงานของ Application ต่าง ๆ อย่างเช่น เมื่อมีเครื่อง Client ขอใช้บริการเพื่อจะติดต่อขอ Download File ผ่านทาง Internet โดยอาจจะเรียกใช้โปรแกรม FTP Client ทั่วไป อย่างเช่นโปรแกรม WS_ftp เพื่อติดต่อกับโปรเซส FTP ที่กำลังให้บริการอยู่ที่เครื่อง Server จากนั้นตัวโปรเซส FTP ก็จะเรียกใช้โปรโตคอล FTP ( File Transfer Protocol ) เพื่อทำการโอนถ่ายไฟล์นี้ไปให้เครื่อง Client เป็นต้น
FTP ย่อมาจาก File Transfer Protocol คือ โปรโตคอลเครือข่ายชนิดหนึ่ง ถูกนำใช้ในการถ่ายโอนไฟล์ ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ อย่างการถ่ายโอนไฟล์ระหว่าง ไคลเอนต์ (client) กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นแม่ข่าย เรียกว่า โฮสติง (hosting) หรือ เซิร์ฟเวอร์ ซึ่งทำให้การถ่ายโอนไฟล์ง่ายและปลอดภัยในการแลกเปลี่ยนไฟล์ผ่านอินเตอร์เน็ต การใช้ FTP ที่พบบ่อยสุด ก็เช่น การดาวน์โหลดไฟล์จากอินเทอร์เน็ต ความสามารถในการถ่ายโอนไฟล์ ทำให้ FTP เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนที่สร้างเว็บเพจ ทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพ โดยที่การติดต่อกันทาง FTP เราจะต้องติดต่อกันทาง Port 21 ซึ่งก่อนที่จะเข้าใช้งานได้นั้น จะต้องเป็นสมาชิกและมีชื่อผู้เข้าใช้ (User) และ รหัสผู้เข้าใช้ (password) ก่อน และโปรแกรมสำหรับติดต่อกับแม่ข่าย (server) ส่วนมากจะใช้โปรแกรมสำเร็จรูป เช่น โปรแกรม Filezilla,CuteFTP หรือ WSFTP ในการติดต่อ เป็นต้น

FTP แบ่งเป็น 2 ส่วน
1. FTP server  เป็นโปรแกรมที่ถูกติดตั้งไว้ที่เครื่องเซิฟเวอร์ ทำหน้าที่ให้บริการ FTP หากมีการเชื่อมต่อจากไคลแอนเข้าไป
2. FTP client  เป็นโปรแกรม FTP ที่ถูกติดตั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์ของ user ทั่วๆไป ทำหน้าที่เชื่อมต่อไปยัง FTP server และทำการอัพโหลด ,ดาวน์โหลดไฟล์ หรือ จะสั่งแก้ไขชื่อไฟล์, ลบไฟล์ และเคลื่อนย้ายไฟล์ก็ได้เช่นกัน







http://www.siam1.net/article-17494.html